วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับแต่งตาสวย กลมโต

ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่



เคล็ดลับแต่งตาสวย กลมโต


เคล็ดลับแต่งตาสวย กลมโต


ตาเล็ก

ไล้อายแชโดว์สีอ่อนให้ทั่วเปลือกตา แล้วใช้อายแชโดว์สีเข้มสร้างมิติให้ดวงตา โดยเริ่มเกลี่ยสีจากหางตาไล่ตามแนวกระบอกตา ให้น้ำหนักสีเข้มบริเวณสุดอยู่ที่ปลายหางตา ไล้ให้สีอ่อนลงเรื่อยๆจนถึงหัวตา
สุดท้ายปัดไฮไลท์ที่หัวตาและโหนกคิ้ว แล้วเพิ่มความคมเข้มด้วยการเขียนอายไลเนอร์เส้นหนาที่ขอบตาบน หรือถ้าอยากตามเทรนด์ญี่ปุ่นจะเขียนขอบตาล่างด้วยก็ได้
นอกจากการดัดขนตาแล้ว มาสคาร่าก็ช่วยสาวหมวยได้เยอะ โดยเฉพาะการปัดขนตาล่าง


ตาตก

สาวๆสามารถแต่งตาได้ตามปกติ แต่เพิ่มน้ำหนักสีช่วงหางตา ด้วยการไล้อายแชโดว์สีเข้มชิดขอบตาบนโดยเกลี่ยสีช่วงหางตาให้ฟุ้งขึ้น จากนั้นกรีดอายไลเนอร์บริเวณหางตาให้เป็นรูปตัววี แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้ว


ตาโปน

ตาลักษณะนี้สามารถแต่งแบบสโมกกี้อายส์ที่ฮิตๆกันได้สบาย เพราะอายแชโดว์สีเข้มจะทำให้ดวงตาดูเล็กลง อาจใช้แปรงขนาดเล็กแตะอายแชโดว์สีเข้มอย่างสีดำ น้ำตาล หรือน้ำเงิน ลงเพิ่มที่ขอบตาล่างโดยไล่จากหางตาเข้ามาถึงกึ่งกลางตา


Tip

สำหรับสาวตาชั้นเดียวหรือชั้นตาหลบ การติดขนตาปลอมจะช่วยให้เห็นชั้นตาชัดและดูตาโตขึ้นได้จนคุณเองยังแปลกใจ


Text yainoon
PhotoGAB
Make – up ทศพล สนั่นวงศ์
Hair Stylist กำไร โอฬารฤทธิ์
Model นิศารัตน์ อภิรดี


ที่มา mThai


ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่


ลูกพรุน เพื่อนดีๆที่ควรมีไว้(ทาน)ทุกวัน

ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่



ลูกพรุน เพื่อนดีๆที่ควรมีไว้(ทาน)ทุกวัน


ลูกพรุน เพื่อนดีๆที่ควรมีไว้(ทาน)ทุกวัน



เมื่อเอ่ยถึงลูกพรุนเชื่อเหลือเกินว่าใครหลายๆคนคงทำหน้างง นึกไม่ออกว่าเจ้าลูกพรุนนนี้มีหน้าตาและรสชาติอย่างไร และที่สำคัญมันมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหนกับชีวิตคนเมืองอย่างเรา แต่สำหรับคนที่รู้จักถึงขั้นสนิทสนมกับลูกพรุนแล้ว รับรองว่าต้องยกให้เป็นที่หนึ่งในใจตลอดกาลเลยทีเดียว เอาล่ะค่ะเกริ่นเข้าข้างมาซะยาว เรามาทำความรู้จักกับลูกพรุนกันเลยดีกว่า

ลูกพรุนหรือลูกพลัมเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เป็นที่รู้จักและนิยมนำมารับประทานกันเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาเหนือ ลักษณะที่นำมารับประทานมีทั้งรับประทานเป็นผลสด นำมาตากแห้ง ทำเป็นน้ำลูกพรุน และนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร ในปัจจุบันประเทศทางแถบเอเชียให้ความสนใจลูกพรุนมากขึ้นเนื่องจากคุณค่าทางอาหารและประโยชน์ที่ได้รับจากการรับประทานลูกพรุน และผลิตภัณฑ์ต่างๆที่มาจากลูกพรุน

แล้วอะไรอยู่ในลูกพรุนบ้าง ในลูกพรุนจะประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้ เหล็ก(Iron)เป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าผู้หญิงเรานั้นในแต่ละเดือนต้องสูญเสียเลือดประจำเดือนไปเท่าไร ธาตุเหล็กจึงมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆที่ขาดไม่ได้ ใครอยากมีเลือดฝาดอย่ามองข้ามลูกพรุน

วิตามิน B2(Riboflavin) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระบวนการสร้างช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ โดยเฉพาะกับผิวหนัง เล็บและผม

แคลเซียม(Calcium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยระบบประสาทให้เป็นปกติ

วิตามิน C(Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ(Anti-oxidant)เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายเมื่อเซลล์ถูกทำลายโอกาสการเป็นมะเร็งก็มีสูงขึ้น วิตามินcมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidantในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งน้อยลง มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง ช่วยให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น

วิตามิน E เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดงทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร

และที่จะลืมกล่าวถึงไม่ได้คือ ลูกพรุนนั้นอุดมไปด้วยกากใยหรือไฟเบอร์สูงมาก มีคุณสมบัติเป็นยาระบาย บรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นประโยชน์ทำให้ขับถ่ายได้คล่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตปัจจุบันที่ฝากไว้กับอาหารถุง ซึ่งแทบจะไม่มีอะไรที่เป็นกากใยเลย ลูกพรุนเป็นคำตอบที่ไม่น่ามองข้ามนะคะ

ทีนี้อาจมีคำถามตามมาว่า แล้วจะไปหาลูกพรุนทานได้จากที่ไหนดี ไม่ยากเลยค่ะ เพราะในปัจจุบันได้มีการนำลูกพรุนมาแปรรูปให้รับประทานกันได้ง่ายขึ้นเท่าที่เห็นวางขายมีทั้งแบบอบแห้ง แบบผสมในนมเปรี้ยว แบบเชื่อม แบบสกัดเข้มข้น แบบเป็นน้ำผลไม้ หรือจะเป็นส่วนผสมในขนมต่างๆ เช่น เค้กลูกพรุน คุกกี้ลูกพรุน เห็นไหมค่ะว่าหาทานง่ายแค่ไหน

อย่าให้เจ้าลูกพรุนเขาน้อยใจนะคะว่าอุตส่าห์ทำตัวให้หาทานง่ายๆแล้ว เรายังใจร้ายไม่ยอมลิ้มลองเขาอีก เพราะกล้าบอกได้เลยค่ะว่า ใครลองทานลูกพรุนแล้วติดใจกันทุกราย เพราะอะไรหรอคะ แหมอย่างนี้คงต้องย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่ต้นใหม่แล้วค่ะ


ฉบับนี้เรามีสูตรน้ำลูกพรุนง่ายๆมาฝากกันอีกเช่นเคย ลองทำดูนะคะ ไม่ยุ่งยากเลย

ส่วนผสม

- ลูกพรุนแห้ง 2 ผล
– น้ำตาลทราย พอสมควร
– เกลือป่น เล็กน้อย
– น้ำสะอาด 2 ลิตร
– น้ำแข็งทุบ พอสมควร

วิธีทำ

1. นำลูกพรุนแห้งและน้ำตั้งไฟปานกลางจนเดือดสักครู่ น้ำจะเป็นสีน้ำตาลอ่อน
2. ใส่น้ำตาลทรายและเกลือป่นเล็กน้อย ชิมอย่าให้รสหวานมากเกินไป ถ้าใส่เกลือให้ใช้เพียงเล็กน้อยประมาณ 1 หยิบมือเท่านั้น (เพราะปกติการต้มน้ำผลไม้ตากแห้งมักไม่ใส่เเกลือ)
3. ยกลงจากเตาทิ้งไว้จนเย็น เวลาดื่มขณะอุ่นรสชาติเหมือนน้ำชาจีน



ขอขอบคุณ


นิตยสาร STAR FASHION Vol.184
คอลัมน์ HEALTHY CORNER
By: TAITY
หน้า 158-159


ที่มา mThai


ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่


วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

ศัลยกรรมสไตล์เกาหลี… ฮิตฮอตมาแรงจริงๆ!!

ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่



ศัลยกรรมสไตล์เกาหลี… ฮิตฮอตมาแรงจริงๆ!!


ศัลยกรรมสไตล์เกาหลี… ฮิตฮอตมาแรงจริงๆ!!



สวยด้วยมีดหมอ ไม่ได้เป็นกระแสฮอตเฉพาะในหมู่แวดวงคนบันเทิง ดารา นางแบบ นักร้อง หรือนางงาม ที่ต้องหากินอยู่กับความสวยความงามเท่านั้น แต่ทุกวันนี้ กระแสนิยมการทำศัลยกรรมเสริมความงาม กำลังแพร่ระบาดไปทั่วทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่วัยรุ่นวัยทีน ที่ร่ำร้องอยากสวยใสแบบสาวเกาหลี…ซะเหลือเกิน!!



คำยืนยันจากศัลยแพทย์มือหนึ่งของเมืองไทย นพ.ปรีชา เตียวตรานนท์ หัวหน้าทีมศัลยแพทย์ตกแต่ง แผนกศัลยแพทย์ตกแต่ง โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ฉายให้เห็นแนวโน้มว่า สมัยก่อนการทำศัลยกรรมยังจำกัดอยู่ในกลุ่มแวดวงบันเทิง รวมถึงสาวประเภทสอง แต่ระยะหลังมานี้ ความนิยมในการทำศัลยกรรมเริ่มแพร่กระจายไปในกลุ่มสาวทำงาน มีจำนวนมากที่เก็บเงินเก็บทองมาทำตาสองชั้น, เสริมจมูก และที่น่าแปลกใจคือ ในระยะ 10 ปีมานี้ สาวไทยนิยมทำหน้าอกเพิ่มความอึ๋มกันเยอะขึ้นมาก จาก 0% พุ่งขึ้นเป็น 100% เพียงแต่ยังปกปิดเป็นความลับ เพราะถือเป็นจุดที่น่าอายที่สุด






ไม่เฉพาะแต่สาวทำงานเท่านั้น แม้แต่กลุ่มวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ก็หันมานิยมการทำศัลยกรรม!! คุณหมอปรีชา เล่าว่า ในช่วง 2-3 ปีนี้ มีเด็กวัยรุ่นมาทำศัลยกรรมกับหมอเยอะมาก แต่กลุ่มนี้จะค้นคว้าหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตมาอย่างดี เข้าใจและรู้หมดว่าตัวเองกำลังทำอะไร อย่างบางคนอายุแค่ 15-16 ปี ก็ขอเสริมหน้าอกแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะนิยมเสริมหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นแค่คัพเดียว ไม่ต้องการไซส์มโหฬาร การทำหน้าอกมีอยู่ด้วยกันหลายวิธีและหลายราคา สมัยก่อนเสริมหน้าอก เสียค่าใช้จ่าย 25,000 บาท แต่สมัยนี้ราคาพุ่งขึ้นเป็น 120,000-150,000 บาท ถ้าทำจมูกก็ตกราว 15,000-30,000 บาท จากสมัยก่อน ทำจมูกคิดแค่ 3,000 บาท






นอกจากจะฮิตการเสริมหน้าอกเพิ่มอึ๋มแล้ว คุณหมอยืนยันว่า เทรนด์การทำศัลยกรรมสไตล์เกาหลีก็มาแรงมาก วัยรุ่นไทยสมัยนี้ จะตัดรูปดาราเกาหลีมาให้หมอดูเป็นตัวอย่างว่า อยากได้ตาแบบนี้ จมูกแบบนี้ การทำศัลยกรรมสไตล์เกาหลี จะเน้นความเป็นธรรมชาติ มองด้วยตาเปล่าไม่รู้ว่าทำศัลยกรรม อย่างเช่น การทำตา จะเป็นตาสองชั้นทรงสระอิแบบเอเชีย หรือไม่ก็สองชั้นหางตาเตียวเสี้ยน มากกว่าจะเป็นตาสองชั้นใหญ่เป็นตากบดูลึกโบ๋แบบฝรั่ง ส่วนจมูก ก็นิยมแบบโด่งตรงและคม ไม่โด่งตั้งแบบฝรั่ง หรือเรียวแหลม บางคนยังเหลาคางให้เรียวลงด้วย แต่หมอจะไม่ค่อยแนะนำให้ทำ เพราะการเหลาคางเป็นเรื่องใหญ่มาก ต้องคุยกันให้เคลียร์ว่าอยากทำจริงๆ









ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หนุ่มไทยจำนวนไม่น้อย ยังมาหาหมอเพื่อทำอวัยวะเพศจากเล็กให้ใหญ่เบิ้มขึ้นด้วย… การผ่าตัดขยายขนาดอวัยวะเพศชาย เสียค่าใช้จ่าย 100,000-200,000 บาท โดยเทคนิคการทำต้องเริ่มจากการยืดอวัยวะเพศชายให้ยาวขึ้นราว 1 นิ้ว จากนั้นใส่วงแหวนเพื่อเพิ่มรอบวงขนาดอวัยวะเพศให้ใหญ่ขึ้น แต่ต้องระวังอย่างมาก ห้ามตัดโดนเส้นประสาทเด็ดขาด เพราะจะทำให้ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม








ส่วนการทำศัลยกรรมแปลกๆที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกัน คุณหมอปรีชาก็ได้แสดงฝีมือมาเยอะแล้วไม่ว่าจะเป็น การเสริมก้นให้อวบอิ่ม ทำโดยผ่าร่องก้นตรงกลาง แล้วสอดถุงซิลิโคนเข้าไปในแก้มก้นทั้ง 2 ข้าง สนนราคาอยู่ที่ 150,000 บาท อีกเคสที่น่าสนใจก็คือ การผ่าตัดแปลงเพศเปลี่ยนผู้หญิงเป็นผู้ชาย!! อันนี้นิยมทำในหมู่ทอมญี่ปุ่น เริ่มต้นคุณหมอจะให้คุยกับจิตแพทย์จนแน่ใจว่าอยากเป็นผู้ชายจริงๆ จากนั้นให้ฮอร์โมนเพศชายต่อเนื่องกัน 6 เดือน เพื่อปรับสภาพร่างกายให้พร้อม เมื่อถึงเวลาผ่าตัด หมอจะเริ่มจากการตัดมดลูก, ตัดรังไข่ และปิดช่องคลอด แล้วจึงทำอวัยวะเพศชาย โดยใช้หนังและเส้นประสาทจากแขนคนไข้ หรือหน้าท้อง มาหุ้มซิลิโคนทำเป็นอวัยวะเพศชายและไข่ ผลที่ได้รับก็คือ ยืนปัสสาวะได้, มีอวัยวะเพศเหมือนกับจู๋ของเด็ก และสามารถร่วมเพศได้ แต่ไม่มีความรู้สึกเหมือนชายแท้ การผ่าตัดแบบนี้เสียค่าใช้จ่ายราว 300,000 บาท คนไข้ต้องทานฮอร์โมนเพศชายตลอดชีวิต









อย่างไรก็ดี คุณหมอปรีชากล่าวย้ำว่า การทำศัลยกรรมไม่มีอันตรายอย่างที่คิด ถ้าทำกับแพทย์ที่มีความชำนาญ และใช้ซิลิโคนแบบเพียวริไฟล์ สำหรับทางการแพทย์จริงๆ พักฟื้นแค่อาทิตย์เดียว ก็กลับไปทำงานได้ ส่วนที่มีข่าวจมูกเน่า หรือนมเน่า ส่วนใหญ่เกิดจากคลินิกเถื่อน ใช้ซิลิโคนผิดประเภท เช่น เอาซิลิโคนรถยนต์มาใส่ให้คนไข้ ถ้าอยากทำศัลยกรรม ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีถึงผลดีผลเสีย เพราะการทำศัลยกรรมคือการผ่าตัด ไม่ใช่การเสริมสวย ยังไงก็มีความเสี่ยงในตัวเอง!!





ที่มาจากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ


ที่มา mThai


ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่


สวยสั่งได้…ปรับลุคเดิร์นสบายกระเป๋า

ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่



สวยสั่งได้…ปรับลุคเดิร์นสบายกระเป๋า


หน้าตาเรียบๆสะอาดสะอ้านก็ดูดีอยู่หรอกค่ะ แหมๆๆ!! แต่ปีใหม่ทั้งที อยากให้คุณๆลองปรับลุคเปลี่ยนโฉมดูบ้าง จะได้สวยเลิศมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเก่า ไม่ถึงขนาดต้องลงทุนซื้อเครื่องสำอางใหม่ยกชุด หรือโละเสื้อผ้าเก่าทั้งตู้ อันนี้ไม่สนับสนุนเด็ดขาด เพราะสวนกระแสเศรษฐกิจพอเพียง!! อยากสวยอย่างฉลาดประหยัดงบ ต้องรู้จักหยิบของชิ้นเด่นประจำซีซั่น มาผสมผสานกับข้าวของที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในตู้เสื้อผ้า



ซีซั่นนี้ เมกอัพเทรนด์ที่มาแรงที่สุด ทำให้ดูเด่นเด้งขึ้นทันตา ต้องยกให้ ลิปสติกสีเข้มสด และสีจัดจ้านดูแปลกตา อย่างเช่น แดงสด, ชมพูช็อกกิ้งพิงค์ และโทนสีนีออน อาจจะต้องอาศัยความกล้าสักเล็กน้อย แต่การันตีผลลัพธ์ว่าแจ๋วจริง ขืนแต่งหน้านู้ดๆไปปาร์ตี้ปีใหม่ มีหวังนั่งเหี่ยวคาโต๊ะ ไร้หนุ่มเหลียวแล!!



ที่เกริ่นไว้ว่าแต่งตัวแบบประหยัดงบ ด้วยการใช้แอคเซสซอรี่ชิ้นเก๋เป็นตัวช่วย ก็ใช้ได้กับการอัพลุคให้ดูไฮโซกว่าเก่า โดยใช้แอคเซสซอรี่แบรนด์เนมชิ้นเล็กๆราคาไม่หนักกระเป๋า เป็นตัวบ่งบอกความมีเทสต์ แทนที่จะประโคมทุกอย่างลงบนตัว แต่รวมๆกันแล้วดูไร้รสนิยมพิลึก!!



ถ้าจะเลือกชิ้นเด็ดประจำซีซั่นนี้ แฟชั่นนิสต้าตัวจริงทุ่มโหวตให้ หมวก ไม่ว่าจะเป็นทรงเบเรต์ หรือทรงปีกกว้าง ล้วนแต่ฮอตๆๆทั้งนั้น ส่วนผ้าโพกศีรษะแบบชาวเจ็ตเซ็ต เอาต์ไปได้พักใหญ่แล้ว แต่ถ้าดัดแปลงเป็น ผ้าพันคอ ก็ยังพออินเทรนด์อยู่ในกระแส โดยเฉพาะผ้าพันคอทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสเนื้อบางเบา



จะเป็นลายกราฟฟิกแบบยุคซิกส์ตี้ส์, แนวซาฟารี, ลายเสือ หรือออกสไตล์พื้นเมือง ก็อัพๆๆเรตติ้งได้ถ้วนทั่ว ส่วนกระเป๋าใบเก่งเรคคอมเมนด์เป็น กระเป๋าโอเวอร์ไซส์ ที่แพร่ระบาดไปทั่วฮอลลีวูด และซีซั่นนี้มาหยุดกึกที่ กระเป๋าหนีบใบโต ถูกใจสาวชาวกรุงสมบัติเยอะ!!



ที่มาจากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ


ที่มา mThai


ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่


วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการเลือกรองเท้าใหม่

ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่



เทคนิคการเลือกรองเท้าใหม่


เทคนิคการเลือกรองเท้าใหม่





รองเท้าไม่จำเป็นต้องสวยเพียงอย่างเดียว หากขึ้นอยู่กับว่าใส่แล้วไม่ทำให้ รองเท้ากัด นั่นล่ะค่ะ เพราะเวลาเจออาการนี้สาวๆเช่นคุณคงเสียฟอร์มน่าดู อีกทั้งยังทำให้เสียบุคลิกภาพไม่น่ามองอีกด้วยค่ะ

1. หารองเท้าหนังเป็นอันดับแรก เพราะหนังช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดีกว่า

2. เลือกรองเท้าที่แข็งแรง ยืดหยุ่น กระชับรูปเท้า และใส่สบาย

3. ถ้ารองเท้าคู่ใหม่ที่จะซื้อเป็นแบบที่ต้องสวมถุงเท้า ให้เตรียมถุงเท้าแบบที่จะใช้ติดกระเป๋าไปลองด้วย จะได้รู้ว่ารองเท้าที่เลือกพอเหมาะพอดีแค่ไหน

4. อย่าฝืนซื้อรองเท้าที่ใส่ไม่สบายหรือคับ

5. ไปซื้อรองเท้าตอนเย็น เพราะเป็นช่วงเวลาที่เท้าขยายตัวเต็มที่

6. วัดไซด์ใหม่ทุกครั้งที่จะซื้อรองเท้า เพราะเท้าของคนเราจะขยายตัวตามอายุ

7. ขนาดของรองเท้าแต่ละยี่ห้อไม่เท่ากัน ควรรองก่อนซื้อทุกครั้ง

8. ซื้อรองเท้าที่รูปทรงใกล้เคียงกับรูปเท้า มีความกว้างเพียงพอ

9. หลีกเลี่ยงรองเท้าทรงหัวแหลมและส้นสูงเกิน 1 นิ้ว เพราะทั้งสองแบบเป็นรองเท้าที่ทารุณเท้างามๆเป็นที่สุด

10. รองเท้ากีฬา ควรซื้อให้ตรงกับประเภทของกีฬาที่เล่น



สามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมจากหนังสือ Nail Collection by Hair&Beauty Studio

มีจำหน่ายตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป

ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ Nail Collection by Hair&Beauty Studio


ที่มา mThai


ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่


เคล็บลับผิวขาวนุ่มชุ่มชื่น

ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่



เคล็บลับผิวขาวนุ่มชุ่มชื่น


เคล็บลับผิวขาวนุ่มชุ่มชื่น



ถ้าคุณต้องเผชิญกับศัตรูความงามทุกๆ วัน ถึงเวลาแล้วที่เราต้องปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อคืนความขาวเนียนสดใสให้กับผิว ทั้งนี้เคล็ดลับง่ายๆ ก็มีอยู่ว่า


“ควรบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์สม่ำเสมอ ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการทามอยส์เจอร์บำรุงผิวก็คือ หลังจากอาบน้ำเสร็จ เช็ดตัวพอหมาดเหลือทิ้งความชุ่มชื้นไว้บนผิวบ้างก่อนทามอยส์เจอร์ เพื่อเก็บรักษาความชุ่มชื่นให้อยู่กับผิวได้นานขึ้น”


หากต้องทำงานในห้องแอร์หรือสัมผัสกับอากาศร้อนอบอ้าวทุกวัน การบำรุงผิวหลังจากอาบน้ำตอนเช้าหรือตอนเย็นอาจไม่เพียงพอ ควรจะขยันบำรุงผิวขึ้นอีกนิด วิธีง่ายๆ คือ แค่พกพามอยส์เจอร์บำรุงผิวที่ซึมซับอย่างรวดเร็วติดกระเป๋าหรือใส่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานไว้ เพื่อเติมความชุ่มชื่นระหว่างวันได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะบริเวณแขน ขา หรือข้อศอก ทุกวันที่ต้องออกไปผจญกับแสงแดดเช่นเดียวกัน คุณควรปกป้องผิวสวยจากรังสียูวีด้วยครีมกันแดดทุกวัน และพยายามหลีกเลี่ยงการออกไปสัมผัสกับแสงแดดแรงกล้าในช่วงระหว่าง 10 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น


หากต้องการคืนความขาวให้กับผิวของคุณ ต้องเลือกครีมบำรุงผิวอย่างเหมาะสม การดื่มน้ำให้พอเพียงวันละประมาณ 8 แก้วต่อวัน เท่ากับเป็นการเติมทั้งความสดชื่นให้กับร่างกายแล้วยังเป็นการช่วยเติมน้ำให้ผิวคงความชุ่มชื่นอีกด้วยค่ะ ถ้าคุณจำไม่ได้ว่าแต่ละวันดื่มน้ำได้วันละ 8 แก้วตามคำแนะนำที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ลองวางขวดน้ำดื่มและวางแก้วไว้บนโต๊ะทำงาน เพื่อเตือนใจว่าแต่ละวันได้ดื่มน้ำพอเพียงหรือยัง




ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์


ที่มา mThai


ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่


เคล็ดลับขาสวยสำหรับสาวออฟฟิศ

ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่



เคล็ดลับขาสวยสำหรับสาวออฟฟิศ


เคล็ดลับขาสวยสำหรับสาวออฟฟิศ













สำหรับสาวออฟฟิศนั้น ส่วนใหญ่จะใช้เวลาทั้งวันนั่งอยู่กับเก้าอี้ วางนิ้วอยู่บนคีย์บอร์ด และสายตาจับจ้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งสาว ๆ รู้หรือไม่คะว่า การนั่งเป็นเวลานาน ๆ โดยที่เราไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบทเลยนั้น คือสาเหตุหลักของการเกิดเส้นเลือดขอด





เพราะการที่เรานั่งเป็นเวลานาน ๆ นั้น ทำให้เส้นเลือดที่ไหลลงมาหล่อเลี้ยงขาไม่สามารถไหลเวียนกลับขึ้นสู่หัวใจได้สะดวก ซึ่งอาการเช่นนี้จะส่งผลให้หลอดเลือดขาโป่งพอง หรือขอดขด จนอาจไปดันเซลล์และอวัยวะส่วนอื่นที่อยู่ใกล้เคียง เหตุนี้จึงทำให้คุณรู้สึกปวดเมื่อยขา และขาบวมขึ้น แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ล่ะ จะทำอย่างไร วันนี้เรามีวิธีการแก้อาการเส้นเลือดขอด สำหรับสาวออฟฟิศมาฝากกันค่ะ





1. ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร : น้ำ เป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับชีวิตคนเรา ไม่เฉพาะแต่สาวออฟฟิศเท่านั้น ส่วนสาเหตุที่ผู้ที่ทำงานอยู่ในออฟฟิศนั้น ต้องดื่มน้ำมากก็เพราะว่า ป้องกันให้เลือดในร่างกายไม่เข้มข้นเกินไปจนไหลเวียนไม่สะดวก ทั้งนี้ในปริมาณ 2 ลิตรของน้ำที่ดื่มอาจเป็นน้ำผลไม้ น้ำผักสมุนไพร น้ำนม หรือน้ำซุปก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำเปล่าธรรมดา แต่ก็ไม่ควรเป็นเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ เพราะเครื่องดื่มดังกล่าวจะยิ่งทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น





2. อย่านั่งนานเกินไป : ควรที่จะลุกเดินไปไหนมาไหน ยืดเส้นยืดสายมาก แต่ไม่ได้บอกว่าให้อู้งานนะคะ ซึ่งการยืดเส้นยืดสายนี้ ก็เหมาะกับคนที่ต้องขับรถเป็นระยะทางไกล ๆ และใช้เวลามาก ๆ ด้วย ควรจะแวะพัก เพื่อเดินยืดแข้งขาบ้างเป็นระยะ หรือไม่เช่นนั้นก็ควรบริหารเท้าด้วยท่าง่ายๆทุกๆชั่วโมง อย่างเช่น หมุนข้อเท้า หุบและยกนิ้วเท้าขึ้นลงไปมา





3. งดเสื้อรัดติ้ว : สาว ๆ อวบอั๋นทั้งหลายที่ชอบใส่เสื้อตัวเล็ก ๆ จนปลิ้นทางนั้นที ทางนี้ที ก็ควรเปลี่ยนการแต่งตัวซะใหม่นะคะ เพราะการใส่เสื้อรัดติ้วนั้น จะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก รวมไปถึงการรัดเข็มขัดแน่จนเกินไปด้วยนะคะ





4. นอนตัวตรง : นอนในท่าที่ถูกต้อง ไม่นอนตัวงอคุดคู้ และควรปล่อยให้ขาเหยียดตรง





เอาล่ะคะ ไม่อยากขาเป็นเส้นเลือดขอด ลาย จนใส่กระโปรงสั้นได้แล้วล่ะก็ ควรใส่ใจดูแลสุขภาพของขาคุณเป็นประจำนะคะ…



ที่มาจากหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์


ที่มา mThai


ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่


Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...